หน้าแรก
สินค้า
แชทไลน์

banner

กระเบื้องยาง ปูห้องน้ำ ติดผนัง ได้ไหม

กระเบื้องยาง ปูห้องน้ำ ได้ไหม ? เวลาเราพูดถึงเรื่อง กระเบื้องปูพื้นห้องน้ำ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงกระเบื้องเซรามิคด้วยความคุ้นเคย และคุณสมบัติหลักที่สามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาถูก การดูแลรักษาทำความสะอาดง่าย  ช่างส่วนใหญ่ก็มีความชำนาญในการติดตั้ง แต่ยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนไปผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับสไตล์การแต่งบ้านมากขึ้น การตกแต่งห้องต่าง ๆ ก็ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็เริ่มมีการใช้วัสดูปูพื้นชนิดอื่น ๆ นำมาปูพื้นห้องน้ำมากขึ้น จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ใช้กระเบื้องยางได้ไหม ? เพราะหลายคนเห็นคุณสมบัติที่โดดเด่นของกระเบื้องยาง ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ทนความร้อนได้ดี ไม่ลามไฟ ทนต่อรอยขีดข่วน ทำให้เข้าใจผิดว่า กระเบื้องยาง สามารถเอามาปูพื้นห้องน้ำได้

 

 

กระเบื้องยาง ปูห้องน้ำ ไม่ได้เพราะ …….

แม้มีความสามารถในการทนความชื้นมากกว่าวัสดุปูพื้นบางประเภท แต่กระเบื้องยางไม่สามารถทนความชื้นได้ตลอดเวลา เพราะห้องน้ำมีความเปียกชื้นอยู่ตลอด อีกทั้งยังมีคราบสบู่ ยาสระผม หรือคราบสารเคมีต่าง ๆ แม้กระเบื้องยางจะทำมาจาก PURE PVC (PVC บริสุทธิ์) หรือ โพลิเมอร์ และผู้ผลิตจะพยายามพัฒนานวัฒกรรมเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานของผู้บริโภค จนทำให้เกิดกระเบื้องยางหลากหลายประเภท เช่น แบบทากาว, แบบคลิ๊กล็อค, แบบ LVT, แบบ SPC, แบบ BOWEN และแบบ LOOSELAY ตอบโจทย์การใช้งานอย่างครอบคลุมที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองในเรื่องของการทนความชื้นสูงได้ 100 % แต่ถ้าหากจำเป็นต้องใช้งานกระเบื้องยางจริง ๆ แนะนำให้เลือกใช้เป็นกระเบื้องอยาง SPC

กระเบื้องยาง SPC กระเบื้องยางที่เหมาะกับปูพื้นห้องน้ำ

หากต้องการวัสดุปูพื้นห้องน้ำเป็นกระเบื้องยางจริง ๆ กระเบื้องยาง SPC จะดีที่สุดในวัสดุประเภทกระเบื้องยางทั้งหมด เพราะกระเบื้องยาง SPC มีส่วนผสมของหินต่างจากกระเบื้องยางประเภทอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมจากพลาสติก เมื่อน้ำซึมเข้าไปตัวกระเบื้องยาง SPC โมเลกุลของหินจะช่วยในการดันโมเลกุลของน้ำ ไม่ให้โมเลกุลโดยรวมของกระเบื้องยาง SPC หดตัวไปมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พื้นกระเบื้องยางเกิดการโก่ง การบวม และเกิดการกระเดิดขึ้นในที่สุด เพราะฉะนั้น กระเบื้องยาง SPC เหมาะที่สุดในบรรดากระเบื้องยางที่จะนำไปใช้เป็นวัสดุปูพื้นห้องน้ำ แต่ถ้าแนะนำจริง ๆ ไม่แนะนำให้ใช้กระเบื้องยางเป็นวัสดุปูพื้นห้องน้ำสักเท่าไหร่นัก ควรเลือกใช้วัสดุปูพื้นชนิดอื่น ๆ  สำหรับวิธีการเลือกซื้อกระเบื้องที่ใช้ในห้องน้ำสามารถเลือกดูได้จากวิธีการดังนี้

กระเบื้องปูพื้นห้องน้ำ ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือก?

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในห้องน้ำมีทั้งความชื้น คราบสบู่ คราบยาสระผม คราบต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการลื่นหกล้ม ดังนั้น การเลือกกระเบื้องในห้องน้ำ ผิวสัมผัสของกระเบื้องจะต้องไม่เรียบเนียน ควรมีผิวสัมผัสที่หยาบและสากเท้าไม่มากก็น้อย ซึ่งความสากเราจะเรียกว่าค่า R หรือ SLIP RESISTANCE RATING เรียกสั้น ๆ ว่าค่ากันความลื่น เป็นค่าที่ได้มาจากการทดสอบ RAMP TEST ที่พื้นในระดับความลาดชันต่างๆ ซึ่งกระเบื้องที่เหมาะสำหรับใช้ปูพื้นห้องน้ำต้องมีค่า R10 ขึ้นไป ยิ่งตัวเลขมากจะยิ่งกันความลื่นได้มาก ลดความเสี่ยงต่อการลื่นล้ม ทั้งยังทนทานต่อการใช้งานอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว เราสามารถสังเกตค่า R ได้จากข้างกล่องกระเบื้อง หรือสอบถามพนักงาน หรือช่างผู้ติดตั้งได้

อยากปูพื้นห้องน้ำต้องเลือกกระเบื้องชนิดไหน

กระเบื้องที่เหมาะกับการปูพื้นห้องน้ำที่สุด จะเป็นกระเบื้องพื้นแกรนิตโต้เพราะกระเบื้องแกรนิตโต้มีอัตราการดูดซึมน้ำที่ค่อนข้างต่ำ มีความแข็งแรงทนทาน มีค่า R ที่ค่อนข้างสูงกันลื่นได้ดี มีความมันวาวน้อยกว่ากระเบื้องเซรามิค จะเหมาะกับการใช้งานในห้องน้ำมากที่สุด แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของราคาที่ค่อนข้างสูง, น้ำหนักที่มากและการติดตั้งที่ยาก รองลงมาเป็นกระเบื้องพอร์ซเลน, กระเบื้องเซรามิก

กระเบื้องยางติดผนัง ได้ไหม ?

ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยว่าเราสามารถนำ กระเบื้องยางปูผนัง ได้ไหม ? แอดมินขอแจ้งเลยว่าสามารถทำได้ แต่จะมีข้อแนะนำในส่วนนี้ว่า ผนังของห้องต้องไม่มีความชื้นหรือมีความชื้นน้อยมาก ๆ เนื่องจากกระเบื้องยางที่ใช้ในการปูผนังจะใช้กาวในการยึดติดกระเบื้องยางทั้งแบบคลิ๊กล็อคและแบบไวนิลทั่วไป ดังนั้นหากมีความชื้นเนื้อกาวจะเกาะผนังไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ และกาวที่ใช้ต้องมีความสามารถในการยึดเกาะสูง ความหนาที่เหมาะสมในการเลือกใช้กระเบื้องยางปูผนังอยู่ที่ 1.6 ถึง 4 มิล ไม่ควรเกิน 4 มิล เนื่องจากในการติดผนังตัวแผ่นของกระเบื้องยางต้องมีน้ำหนักที่น้อย

4 ขั้นตอน วิธีปูกระเบื้องยาง ด้วยตัวเอง และ ปรับพื้นก่อนปูกระเบื้องยาง

วิธีปูกระเบื้องยาง ด้วยตัวเอง สามารถทำได้ไหม ? ยากเกินไปหรือเปล่า ? เป็นคำถามที่มีผู้คนสงสัยถามเข้ามากันเยอะมาก ๆ ซึ่งแอดมินต้องบอกเลยว่า ปูกระเบื้องยางเอง นั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของช่างไปได้มากเลยทีเดียว ซึ่งก่อนที่จะเริ่มปูกระเบื้องยางสิ่งแรกที่ควรสำรวจก่อนเลย คือ ตรวจสอบความชื้นบริเวณพื้นที่ที่ต้องการปู หากมีความชื้นตลอดเวลา อาจจะต้องตัดใจการปู กระเบื้องยาง เนื่องจากเป็นสาเหตุทำให้กระเบื้องหดตัว กาวหย่อนประสิทธิภาพ เกิดปัญหาหลังปูกระเบื้องยางในภายหลัง แต่หากไรปัญหาความชื้นก็สามารถปูกระเบื้องยางได้ ซึ่งเรามาเรียนรู้ขั้นตอนที่สำคัญก่อนทำการปูกระเบื้องยางกัน นั้นก็คือ การปรับพื้นปูกระเบื้องยาง นั้นเอง

ปรับพื้นก่อนปูกระเบื้องยาง ต้องรู้อะไรบ้าง ?

การปรับพื้นถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนที่จะทำการปูพื้น โดยเฉพาะหน้างานภายในอาคาร หรือ พื้นที่ต้องมีวัสดุปิดทับ เช่น ลามิเนต พื้นไม้ปาเก้ พื้นพรม รวมไปถึง กระเบื้องยาง เพื่อให้ได้พื้นผิวที่เหมาะสมกับการปูทับ และป้องกันปัญหาเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตนั่นเอง วันนี้แอดมินจึงมาให้ความรู้เทคนิคก่อนที่จะทำการปรับพื้นกันว่ามีอะไรบ้าง

คุณสมบัติของการปรับพื้นที่ดีคืออะไร ?

  1. ความเรียบเนียน เนื่องจากกระเบื้องยางส่วนใหญ่มีขนาดและวัสดุหลากหลาย จะทำมาทากาว หรือ คลิ๊กล็อคแบบไม่ต้องใช้กาว ในการปรับพื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะตำแหน่งไหนที่ไม่เรียบเนียน ก็จะทำให้กระเบื้องยางเกิดความเสียหายได้ อาจไปถึงการรื้อเพื่อซ่อมแซมซึ่งเสียเวลา
  2. พื้นมีระดับเดียวกัน นอกจากความเรียบเนียนของพื้นแล้ว ระดับของพื้นก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถึงพื้นจะเรียบเนียน แต่มีความลาดเอียง พื้นเป็นแอ่ง หรือ ไม่ได้ระดับ เวลาปูวัสดุไปจะเกิดคลื่นทำให้ไม่สวยงาม
  3. ความสะอาดของพื้น ไม่มีฝุ่นผง หรือ สิ่งสกปรก ก่อนปูกระเบื้องลงไป ไม่ว่าจะประเภทไหน ต้องสำรวจให้ดีว่ามีสิ่งแปลกปลอม สิ่งสกปรก อย่างเช่น ฝุ่นผง น็อตตะปูจากการทำงานให้ดีก่อน เพื่อป้องกันปัญหาพื้นขรุขระ ทำให้มีการรื้อพื้นซ่อมแซมเสียเวลาระหว่างวันเพิ่ม

5 ขั้นตอนการปรับพื้น ก่อนปูกระเบื้องยาง

  1. ความเรียบเนียน เนื่องจากกระเบื้องยางส่วนใหญ่มีขนาดและวัสดุหลากหลาย จะทำมาทากาว หรือ คลิ๊กล็อคแบบไม่ต้องใช้กาว ในการปรับพื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะตำแหน่งไหนที่ไม่เรียบเนียน ก็จะทำให้กระเบื้องยางเกิดความเสียหายได้ อาจไปถึงการรื้อเพื่อซ่อมแซมซึ่งเสียเวลา พื้นมีระดับเดียวกัน นอกจากความเรียบเนียนของพื้นแล้ว ระดับของพื้นก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถึงพื้นจะเรียบเนียน แต่มีความลาดเอียง พื้นเป็นแอ่ง หรือ ไม่ได้ระดับ เวลาปูวัสดุไปจะเกิดคลื่นทำให้ไม่สวยงาม ความสะอาดของพื้น ไม่มีฝุ่นผง หรือ สิ่งสกปรก ก่อนปูกระเบื้องลงไป ไม่ว่าจะประเภทไหน ต้องสำรวจให้ดีว่ามีสิ่งแปลกปลอม สิ่งสกปรก อย่างเช่น ฝุ่นผง น็อตตะปูจากการทำงานให้ดีก่อน เพื่อป้องกันปัญหาพื้นขรุขระ ทำให้มีการรื้อพื้นซ่อมแซมเสียเวลาระหว่างวันเพิ่ม
  2. ความเรียบเนียน เนื่องจากกระเบื้องยางส่วนใหญ่มีขนาดและวัสดุหลากหลาย จะทำมาทากาว หรือ คลิ๊กล็อคแบบไม่ต้องใช้กาว ในการปรับพื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะตำแหน่งไหนที่ไม่เรียบเนียน ก็จะทำให้กระเบื้องยางเกิดความเสียหายได้ อาจไปถึงการรื้อเพื่อซ่อมแซมซึ่งเสียเวลา พื้นมีระดับเดียวกัน นอกจากความเรียบเนียนของพื้นแล้ว ระดับของพื้นก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถึงพื้นจะเรียบเนียน แต่มีความลาดเอียง พื้นเป็นแอ่ง หรือ ไม่ได้ระดับ เวลาปูวัสดุไปจะเกิดคลื่นทำให้ไม่สวยงาม ความสะอาดของพื้น ไม่มีฝุ่นผง หรือ สิ่งสกปรก ก่อนปูกระเบื้องลงไป ไม่ว่าจะประเภทไหน ต้องสำรวจให้ดีว่ามีสิ่งแปลกปลอม สิ่งสกปรก อย่างเช่น ฝุ่นผง น็อตตะปูจากการทำงานให้ดีก่อน เพื่อป้องกันปัญหาพื้นขรุขระ ทำให้มีการรื้อพื้นซ่อมแซมเสียเวลาระหว่างวันเพิ่ม
  3. กรณีพื้นคอนกรีต ให้สำรวจรอยแตกร้าว : พื้นคอนกรีตก็ต้องสำรวจ เพราะพื้นคอนกรีตมีโอกาสรอยเกิดแตกร้าวจะส่งผลเสียต่อการปูกระเบื้องยาง ในการซ่อมแซมพื้นคอนกรีต แนะนำให้ใช้ปูนปรับระดับ เพราะเหมาะสำหรับงานซ่อมแซมรอยแตกร้าวหนาได้ถึง 8-35 มม. และปรับพื้นเพื่อเสริมความแข็งแรง ทนทาน เหมาะกับการปูกระเบื้องยางทุกประเภท
  4. คุณภาพของปูนปรับระดับเป็นสิ่งสำคัญ : ความละเอียดของงานอาจไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาภายหลังได้ ถ้าเลือกใช้ปูนที่ไม่มีคุณภาพ ควรเลือกใช้ปูนให้เหมาะสม ส่วนใหญ่เราจะเห็นการใช้ปูนเหลวเป็นหลักในการซ่อมแซม เพราะสะดวก รวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติของปูน สำหรับงานที่ต้องผิวหน้าปูนที่เรียบ และ ดูดซึมน้ำ ก็คงจะเป็นตัวไหนไปไม่ได้ ARDEX-X 310 ที่มีคุณสมบัติรับกำลังอัดสูงถึง 28 N/mm2 แห้งตัวได้เร็วสามารถเดินได้ภายใน 3 ชม. ขัดพื้นผิวง่าย มีความคงรูป คงตัวดี เหมาะกับงานปรับพื้นก่อนปูกระเบื้องทุกชนิด
  5. ติดตั้งกระเบื้องยาง : หลังจากทำการปรับพื้นรวมไปถึงเวลาในการแห้งตัวสำเร็จเสร็จสิ้น ให้ทำการปูกระเบื้องยางได้เลย เพื่อให้แผ่นกระเบื้องยางที่ปู ออกมาเป็นระเบียบสวยงาม

อุปกรณ์สำหรับปูกระเบื้องยาง

  • กาวขาวสำหรับติดพื้นไม้
  • กาวยาง
  • เหล็กแซะ
  • หินขัดพื้นชนิดหยาบ
  • คัตเตอร์
  • ตลับเมตร
  • ไม้กวาด
  • พัดลม
  • เชือกตีฝุ่นคลุก (บักเต้า)
  • ลูกกลิ้ง 30 – 50 กิโลกรัม
  • เกรียงลงกาว
  • ไม้ม็อบถูพื้น

วิธีปูกระเบื้องยาง ด้วยตัวเอง

  • ขั้นตอนแรก คือ ปรับพื้นให้เรียบเนียนปราศจากคราบฝุ่น คราบน้ำมัน และที่สำคัญพื้นต้องแห้ง เพื่อให้กาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ขั้นตอนที่ 2 กำหนดแนวห้อง จุดเริ่มในการปูหากเป็นห้องขนาดเล็ก เช่น ห้องนอน ควรเริ่มจากประตูเข้าไปด้านใน แตกต่างจากการติดตั้งห้องที่มีพื้นที่เยอะ ๆ จะเริ่มวางกระเบื้องยางแผ่นแรกที่กลางห้องแทน
  • ขั้นตอนการลงกาว การทากาวลงบนพื้นที่ติดตั้งจะเทคราวครั้งละไม่เกิน 30 ตารางเมตร หรือเทประมาณ 1 – 2 กิโลกรัม (ไม่เทครั้งเดียวจนครบพื้นที่) และใช้เกรียงหวีปาดครึ่งวงกลมรอจนกาวแห้งเปลี่ยนเป็นสีใส
  • ขั้นตอนการติดกระเบื้อง การติดกระเบื้องจะมีเทคนิคในการปูหลากหลายทั้งปูแบบก้างปลา ปูลายขัด ไม่นิยมปูกระเบื้องทับกัน หลังจากปูเสร็จจะใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งทับกระเบื้องเพื่อให้แนบสนิทกับพื้น

กระเบื้องยาง ข้อเสีย ข้อดี มีอะไรบ้าง ? มีกี่ประเภท ให้เลือกใช้งาน?

กระเบื้องยาง ข้อเสีย ข้อดี คือ อะไร ? ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับกระเบื้องยางกันก่อน ซึ่งกระเบื้องยาง คือ วัสดุปูพื้นอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบัน ผลิตจากโพลิเมอร์ อย่างโพลียูรีเทนและพีวีซี มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง รองรับแรงกระแทกหรือแรงกดทับได้ดีเยี่ยม การมีชั้นผิวปกป้องสูงถึง 5 ชั้น โดยเฉพาะผิวหน้ากระเบื้องชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นฟิล์มป้องกันรอยขีดข่วนช่วยรักษาลวดลายให้ยังคงสวยงามเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีนาโนซิลเวอร์ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อรา ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และยังเป็นวัสดุปูพื้นชนิดไม่ลามไฟอีกด้วย ส่วนใหญ่กระเบื้องยางได้รับความนิยมในการนำไปปู พื้นบ้าน คอนโด ร้านอาหาร อาคาร จะนิยมใช้เป็นกระเบื้องยางแบบแผ่น ต่างจากกระเบื้องยางแบบม้วนที่จะนิยมไปปู อาคาร สำนักงาน โรงเรียน โรงพยาบาล โรงยิม หรือบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง ๆ แทน หรือต้องการปูพื้นที่มีรอยต่อกระเบื้องน้อย ๆ

 

ส่วนประกอบของ กระเบื้องยาง คือ อะไรบ้าง ?

กระเบื้องยางจะมี wear layer หรือ ชั้นผิวอยู่ 5 ชั้นด้วยกันเป็นส่วนประกอบหลัก ทั้งคงรูปและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับกระเบื้องยาง ชั้นผิวทั้ง 5 ชั้นต่างก็ทำหน้าที่แตกต่างกัน มาดูพร้อมกันเลยว่าแต่ละส่วนมีหน้าที่อะไรบ้าง

UV Coating : ชั้นแรกหรือชั้นนอกสุด ชั้นนี้เป็นชั้นผิวที่เราสัมผัสโดนเป็นชั้นที่ต้องโดนทั้งแดด ดั้งนั้นจึงต้องมีการเคลือบ สารยูวี เพื่อเพิ่มความคงทนของผิวพื้นนั่นเอง
Wear Layer : เป็นชั้นเดียวกับชั้นแรก ซึ่งมักจะโดนรอยขีดข่วนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการวางพื้นโต๊ะ การลากโต๊ะเป็นต้น ดั้งนั้นจึงมีชั้นนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นกระเบื้องไวนิลของเราสึกนั่นเอง
Print Color Sheet  : เป็นชั้นในส่วนของสีหรือลวดลายต่างๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าว่าต้องการลายไหนทางโรงงานก็จะผลิตออกมา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีแบบมาให้เลือก ไม่สามารถออกแบบลายเองได้
Balance Laye : ชั้นที่สี่ ถือว่าได้ว่าเป็นชั้นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากใช้วัสดุไม่ดีก็จะได้ให้เสียหายได้ง่าย แต่สำหรับสินค้าของเราผลิตจาก วัสดุอย่างดี นั่นก็คือ พีวีซีบริสุทธิ์ ที่ทำให้ กระเบืองของเราไม่หด ไม่ขยายตัว และทนต่อการแตกง่ายนั่นเอง
Base Layer : ชั้นสุดท้ายเป็นชั้นที่เกาะติดยึดกับพื้นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้หยึดติดกับพื้นได้เป็นอย่างดี ระหว่างกาว กับพื้นผิวบ้านก่อนติดตั้งนั่นเอง

กระเบื้องยาง มีกี่ประเภท

ด้วยเทคโนโลยีและกระบวนการพัฒนาจากฝั่งผู้ผลิต เพื่อให้กระเบื้องยางเป็นวัสดุทดแทน ไม้ หิน และวัสดุปูพื้นประเภทอื่น ๆ โดยตั้งใจพัฒนาให้มีความสมจริงทั้งตัวลวดลายและผิวสัมผัส แก้ไขปัญหาที่วัสดุจริงไม่สามารถตอบโจทย์ใช้งานของผู้บริโภคได้ ทำให้ทุกวันนี้กระเบื้องยางมีด้วยกันหลากหลายประเภท ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่จะเรียกตามวัสดุที่ใช้ในการผลิต ตามการใช้งาน และตามลวดลายของกระเบื้องยาง

แบ่งตามวัสดุที่ใช้ในการผลิต

  1. กระเบื้องไวนิล LVT (Luxury Vinyl Tile) กระเบื้องยางที่ผลิตจากพลาสติก 100 % มี Wear layer ชั้นบนหนาประมาณ 0.12-0.7 มม. ผิวสัมผัสกระเบื้องอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง เดินสบายเท้า ยืดหยุ่นสูง ทำให้กระเบื้อง LVT รับน้ำหนักได้ดี
  2. กระเบื้องไวนิล SPC (Stone Plastic Composite) เป็นกระเบื้องที่มีส่วนผสมของหินและพลาสติก ทำให้กระเบื้องประเภทนี้ทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี ผิวหน้ากระเบื้องเป็นรอยยาก ด้วย Wear layer ที่หนาถึง 0.3-0.55 มม. เป็นกระเบื้องยางที่ใช้งานในพื้นที่เปียกชื้นได้ดีที่สุด

แบ่งตามการใช้งาน

  1. กระเบื้องยาง ปูกาว ยังจำแนกได้อีก 2 ประเภท คือประเภทที่มีกาวในตัวมาพร้อมตัวกระเบื้องยาง ติดตั้งคล้ายสติ๊กเกอร์ลอกฟิล์มออกนำไปแปะลงบนพื้นหรือผนังได้เลย ส่วนอีกประเภทคือ แบบกาวแยก หากเลือกใช้กาวที่ดีมีประสิทธิภาพในการติดตั้ง การยึดเกาะของเนื้อกาวและกระเบื้องยางก็จะสูงตามไปด้วย การติดตั้งกระเบื้องยางปูกาวส่วนใหญ่จะปูจากด้านในออกมาด้านนอก โดยเว้นระยะขอบผนังเผื่อการยืดหดของกระเบื้อง ซึ่งสามารถใช้บัวปิดขอบผนังเก็บรายละเอียดให้สวยงามได้
  2. กระเบื้องยาง คลิกล็อค คือ กระเบื้องยางที่ติดตั้งด้วยระบบลิ้นล็อค ไม่ต้องใช้กาวในการติดตั้ง หมดปัญหาเรื่องการถูกน้ำหรือสารเคมีไม่ทำให้เนื้อกาวลดประสิทธิภาพ โดยส่วนใหญ่จะปูด้วยโฟมรองพื้นก่อนปูทับกระเบื้องยางคลิกล็อคอีกที เพื่อเป็นการป้องกันเสียงกระเบื้องกระทบพื้น กระเบื้องยางคลิกล็อคจะเริ่มต้นตั้งแต่ความหนา 4 มิลขึ้นไป
  3. กระเบื้องยางม้วน หรือ กระเบื้องยางที่ต้องใช้ลวดเชื่อมในการติดตั้ง เป็นกระเบื้องยางที่จำหน่ายเป็นม้วน 1 ม้วนปูได้ 12 ตารางเมตรขึ้นไป จุดเด่นของกระเบื้องยางประเภทนี้คือรอยต่อกระเบื้องจะน้อยกว่ากระเบื้องแผ่นทั่วไป ซึ่งรอยต่อกระเบื้องเป็นจุดที่ฝุ่นและสิ่งสกปรกเข้าไปสะสม เป็นจุดที่ยากต่อการทำความสะอาด เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหากระเบื้องกระเดิด

แบ่งตามลวดลาย

  1. กระเบื้องยาง ลายไม้ เป็นกระเบื้องที่มีลวดลายคล้ายไม้ธรรมชาติทั้งรูปลักษณ์และผิวสัมผัส ซึ่งสามารถเลือกผิวสัมผัสที่นูนหยาบเหมือนไม้จริงหรือจะเลือกเหมือนแค่เพียงรูปลักษณ์แต่มีผิวเรียบแทนก็ได้ มีความหนาตั้งแต่ 2 – 5.5 มิล
  2. กระเบื้องยาง ลายหินขัด หินอ่อน หินปูน ล้วนแล้วแต่ถูกสรรค์สร้างให้ใช้งานแทนหินจริงจากธรรมชาติทั้งสิ้น โดดเด่นด้วยน้ำหนักที่เบากว่าหินจริง ทำให้ไม่หนักโครงสร้าง แตกหักยาก และราคาที่ถูกกว่ากันหลายเท่าเลยทีเดียว มีความหนาให้เลือกตั้งแต่ 2 – 5.5 มิล
  3. กระเบื้องยาง ลายพรม เป็นกระเบื้องที่ทดแทนพรมถัก พรมทอ พรมอัดเรียบ ได้แบบหมดจด แก้ไขปัญหาเรื่องเนื้อพรมขาด ฉีก หรือหลุ่ดลุ่ยได้ง่าย กระเบื้องยางลายพรมสามารถใช้น้ำและน้ำยาทำความสะอาดเช็ดถูคราบสกปรกได้เหมือนกระเบื้องปูพื้นทั่วไป ซึ่งเป็นปัญหาที่น่าหนักสำหรับคนใช้พรมจริงปูพื้น มีความหนาให้เลือกเพียง 2 – 4 มิล
  4. กระเบื้องยางสีพื้น เป็นอีกหนึ่งประเภทของกระเบื้องยาง แต่แตกต่างแค่ตัวลวดลายที่เน้นเป็นสีพื้นเรียบหรือสีพื้นโรยลายเท่านั้น ขนาดความหนาเริ่มต้น 1.6 ถึง 3.2 มิล กระเบื้องยางสีพื้นจะมีแต่แบบทากาวเท่านั้น

กระเบื้องยาง ข้อเสีย ข้อดี คือ ?

เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ไม่ว่าอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น วัสดุปูพื้นอย่าง กระเบื้องยาง ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่า กระเบื้องยางจะมีคุณสมบัติที่ดีจนหลายคนนิยมนำมาใช้ปูพื้นบ้าน แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่เช่นกัน

ข้อดี

  • ทนต่อรอยขีดข่วน นี่ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้กระเบื้องยางลายไม้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะไม่ต้องมานั่งกังวลว่าพื้นไม้ที่แสนหวงนั้นจะเป็นรอยเมื่อไหร่ ซึ่งนอกจากจะทนต่อรอยขีดข่วนแล้วยังมีพื้นผิวที่เรียบนุ่มสบายเท้าอีกด้วย
  • ลายไม้สวยคมชัด ดูเหมือนจริง กระเบื้องยางลายไม้ถูกผลิตมาเพื่อให้เหมือนธรรมชาติมากที่สุด จนบางครั้งก็แยกไม่ออกว่าเป็นไม้จริงหรือกระเบื้องยางกันแน่
  • มีความยืดหยุ่นสูง ด้วยคุณสมบัตินี้ ทำให้ กระเบื้องยาง ไม่แตกหักง่าย ใช้งานได้ยาวนานคุ้มค่าเม็ดเงินที่เสียไปอย่างแน่นอน ในขณะที่เรื่องของการซ่อมแซมก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยแทบไม่ต้องง้อช่างเลยทีเดียว
  • เก็บเสียงได้ดี ปกติพื้นไม้เมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งจะเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดสร้างความรำคาญใจให้แก่เจ้าของ แต่สำหรับกระเบื้องยางลายไม้หมดปัญหาดังกล่าวไปได้เลย เนื่องจากมีคุณสมบัติเก็บเสียงได้ค่อนข้างดี จึงเหมาะเป็นตัวเลือกที่จะนำมาปูพื้นบ้านมาก
  • ทนไฟได้ดี และไม่ลามไฟ จึงช่วยลดความกังวลได้ไม่น้อย รวมถึงหากเกิดติดไฟขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย
  • สามารถซ่อมแซมได้ง่าย และไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า

ข้อเสีย

  • กระเบื้องยางลายไม้เมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดการหดตัวจนทำให้เห็นขอบกระเบื้องเป็นร่อง ซึ่งจะทำให้พื้นดูไม่สวยงามนั่นเอง
  • ขนาดของกระเบื้องอาจไม่เท่ากัน ซึ่งมักจะพบใน กระเบื้องยางลายไม้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ ซึ่งทำให้มีปัญหาในการติดตั้งบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรมากมายสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายๆ ด้วยเลือกซื้อ กระเบื้องยางลายไม้ที่มีคุณภาพสูง และตรวจสภาพของกระเบื้องให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ
  • กรณีที่ต้องติดตั้งในพื้นที่ที่ราบหรือมีความสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาหลังการใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่จะพ่วงกับการปรับพื้น สกริมผิวหน้าเดิมให้เรียบ ถ้าพื้นเดิมผิวค่อนข้างแย่ อาจต้องเซลฟ์พื้นหรือปรับระดับพื้น
  • กระเบื้องยางไม่ทนทานต่อน้ำและสารเคมี ดังนั้นการใช้งานภายในห้องน้ำ ภายนอกอาคาร หรือ ระเบียงที่โดนน้ำหรือฝนสาดเป็นประจำ อายุการใช้งานจะน้อยลงกว่าปกติ

กระเบื้องยาง ปูภายนอก ได้ไหม

กระเบื้องยาง ปูภายนอก ได้ไหม ? ควรเลือกใช้กระเบื้องแบบไหนดี ? ลูกค้าหลายท่านบอกมาว่า “อยากจะปูกระเบื้องยางภายนอก” แต่ก็เป็นกังวลเรื่องอายุการใช้งานที่จะตามมา อาจจะเคยได้ยินคำว่า กระเบื้องยางไม่ทนแดด กระเบื้องยางไม่ทนน้ำ ไม่ทนต่อสภาพอากาศ หากติดตั้งไปก็จะเกิดการหดตัวของกาวบ้าง อะไรบ้าง กระเบื้องยางจึงถูกออกแบบมาหลายลักษณะ อย่างเช่น แบบทากาว แบบมีกาวในตัว หรือ แบบคลิกล็อค แต่ละแบบมีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกัน บางอันเหมาะสมในงานแบบนี้ บางอันเหมาะกับแบบนี้ จึงมีการถกเถียงถึงปัญหาเกี่ยวกับการติดตั้งในงานของกระเบื้องยาง

 

กระเบื้องยาง ปูภายนอก ได้ไหม ?

ส่วนการที่จะใช้กระเบื้องยางในการปูภายนอก จะสามารถปูได้ไหม ? คำตอบบคือไม่สามารถปูได้ เพราะกระเบื้องยางส่วนผสมหลักเป็น พลาสติก PVC จะมีความอ่อนโยนมากไม่เหมาะกับการปูภายนอก ยิ่งหน้าฝนหากโดนฝนสาด ฝนกระเซนเป็นประจำ จะทำให้กระเบื้องยางหดตัวไวกว่าปกติ ยิ่งเป็นกระเบื้องยางแบบทากาวเนื้อกาวจะหลุดร่อนเร็ว ประสิทธิภาพในการยึดติดพื้นกับกระเบื้องยางจะลดลงไว เวลาที่กระเบื้องยางตากแดดเป็นเวลานานด้วยความที่เป็นพลาสติกจะกรอบและแห้งกรานไว อายุการใช้งานจะน้อยกว่าปูภายใน

แต่ถ้าหากจำเป็นต้องใช้งาน กระเบื้องยาง ภายนอก หรือ ในห้องน้ำ จริง ๆ แนะนำ กระเบื้องยางแบบคลิกล็อค ที่เป็น พื้น SPC แทนด้วยคุณสมบัติที่มีส่วนผสมของหินอยู่ในตัว เวลาที่โดนน้ำ โดนฝน อัตราการซึมผ่านผิวกระเบื้ออง SPC จะน้อยกว่ากระเบื้องยางทั่วไป การติดตั้งก็ใช้ระบบคลิ๊กล็อคแทนการทากาว ดังนั้นไม่มีผลกับการร่อนหรือหลุดลอก แต่แน่นอนว่าพื้น SPC ก็มีส่วนผสมของพลาสติกด้วยเช่นกัน ดังนั้น อายุใช้งานก็จะน้อยกว่าการใช้งานภายในบ้านแน่นอน

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบ “รักในการตกแต่งบ้าน รักในความเป็นงานไม้” อยากจะปูพื้นภายนอกบ้าง แต่ก็กลัวว่าจะไม่ทนต่อสภาพอากาศ แอดมิน แนะนำให้ใช้เป็น กระเบื้องประเภทอื่น หรือ ไม้เทียมปูพื้น ฯลฯ แทน เพราะมีคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานภายนอกได้ดีกว่า ยิ่งคุณสมบัติที่ทนกับสภาพอากาศยิ่งเหมาะสมกับงานมากกว่า

 

6 วัสดุปูพื้นภายนอก ที่นิยมใช้งาน

เพื่อให้เห็นถึงคุณสมบัติการใช้งานจริง ๆ ทางเราจึงได้จัดทำการทดสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ทั้งการทดลองใช้ไฟแช็คจุดเผาผนังสำเร็จรูปเพื่อทดสอบการติดไฟและการลามไฟจะเป็นจริงอย่างที่แอดมินได้กล่าวไว้หรือเปล่า นอกจากนี้ยังมีการทดลองทดสอบความแข็งแรงคงทนของตัวผนังและการทำความสะอาดเช็ดถูคราบสกปรกที่ฝังลึกเช่นกัน เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เห็นถึงคุณสมบัติผนัง MC’s Wall เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับติดตั้ง ผนังตกแต่งบ้าน

  1. พื้นไม้เทียม เป็นวัสดุปูพื้นที่ทดแทการใช้งานไม้จริง ๆ ด้วยรูปลักษณ์ ลวดลาย และผิวสัมผัสที่เสมือนไม้จริง แต่ตอบโจทย์การใช้งานที่มากกว่าเดิม ทั้งเรื่องของความแข็งแรง ทนทาน สามารถใช้งานเป็นโครงสร้างได้ดีทีเดียว การทนต่อน้ำและแสงแดดได้ดี ทำให้ในปัจจปัจจุบันมีการใช้งานไม้เทียมเพื่อปูพื้นภายนอก พื้นสระว่ายน้ำ พื้นระเบียง กันอย่างมากมาย
  2. กระเบื้องเซรามิก เป็นอีกหนึ่งทางเลือกปูพื้นภายนอกที่คนนิยมเลือกใช้งาน ด้วยราคาที่ค่อนข้างถูกและหาซื้อได้ง่ายกว่ากระเบื้องประเภทอื่น ๆ ข้อควรระวังสำหรับการใช้งานภายนอกต้องเลือกกระเบื้องเซรามิคที่มีคะแนน PEI ที่สูงหน่อย ช่วยบ่งชี้ว่ามีความแข็งแรงที่เพียงพอกับงานพื้นด้านนอก
  3. หญ้าเทียม หากชื่นชอบงานตกแต่งด้วยต้นไม้ใบหญ้า นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับงานปูพื้นภายนอกที่สะท้อนถึงความเป็นธรรมชาติได้ดีทีเดียว  ไม่ต้องกังวลเรื่องของความแข็งแกร่ง ทนทาน แบบกระเบื้องว่าจะแตกหรือหักง่ายไหม ไม่ต้องใส่ใจหรือค่อยเฝ้าดูแลรักษาเหมือนหญ้าจริง ที่ต้องมั่นรดน้ำ ตัดไม้ ตัดใบ หรือเก็บกวาดทุกวัน
  4. หินแกรนิต งานตกแต่งหินธรรมชาติที่มีความแข็งแรงทนทานค่อนข้างสูง เป็นวัสดุระดับพรีเมี่ยม สะท้อนความงาม ความเป็นธรรมชาติผ่านเนื้อหิน การดูแลรักษาก่อนเลือกใช้งานหินแกรนิตสำหรับปูพื้นภายนอก ต้องปิดร่อง หรือ ยาแนว รอยต่อ หรือ บริเวณที่เป็นร่องอย่างดี เพราะหินแกรนิตเนื้อจะค่อนข้างพรุน ต้องปิดรอยเพื่อป้องกันน้ำซึม
  5. กระเบื้องซีเมนต์ กระเบื้องคอนกรีต เป็นกระเบื้องที่ได้รับความนิยมในการใช้ปูพื้นภายนอก ด้วยผิวหน้ากระเบื้องที่ค่อนข้างหยาบและมีสีซีเมนต์ หรือ สีคอนกรีีต ทำให้เก็บฝุ่น หรือ ซ่อนฝุ่น ได้ดีกว่าวัสดุปูพื้นประเภทอื่น ๆ ช่วยให้พื้นดูสกปรกยากกว่าพื้นทั่วไป ง่ายกับการดูแลรักษา
  6. บล็อกปูพื้น เป็นวัสดุปูพื้นที่ภายนอกที่มีความแข็งแรง ทนทาน อายุใช้งานยาวนาน กว่าวัสดุประเภทอื่น ๆ บล็อกปูพื้น มีหลายรูปลักษณ์ ทำให้เทคนิคการปูพื้นสามารถปรับแต่งรูปแบบได้หลากหลาย จะปูสลับด้วยแผ่นบล็อกปูทางเท้า หรือ ปูขัดด้วยบล็อกตัวนอน หรือ ปูให้หญ้าขึ้นแทรกแสมด้วยบล็อกปูหญ้า ก็ได้เช่นกัน

 

สีไฟห้อง เคล็ดลับ วิธีเลือก แสงไฟ อย่างไรให้เหมาะสม

สีไฟห้อง เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการใช้ชีวิตของมนุษย์ เพื่อทดแทนหรือเพิ่มเติมความสว่างจากแสงธรรมชาติ เพื่อให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย หรือเป็นการเพิ่มความสว่างให้กับมุมอันมืดทึบของบ้านทั่วไป บ้านน็อคดาวน์  นอกจากนี้ แสงไฟยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการตกแต่ง รูปแบบและดีไซน์ของไฟชนิดต่าง ๆ เป็นรายละเอียดหนึ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กับบ้าน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ แสงไฟจะช่วยสร้างอารมณ์และบรรยากาศที่แตกต่างกันไป สามารถขับรายละเอียดของสถาปัตยกรรมให้โดดเด่น เน้นความสวยงามของของตกแต่งหรือรูปภาพให้เด่นขึ้น การออกแบบแสงไฟจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นสไตล์ และความน่าสนใจของงานตกแต่งเช่นกัน

 

โทนสีไฟ ที่นิยมนำมาแทนส่วนใหญ่มีทั้งหมด 3 ประเภท

  1. Warm White : แสงวอร์มไวท์ จะให้แสงสีเหลืองนวล สีโทนอุ่น ไม่เข้มจัดและสว่างมากนัก เป็นแสงที่สบายตา ผ่อนคลาย โรแมนติก เป็นแสงที่ใช้สร้างบรรยากาศมากที่สุด                                                                           
  2. Cool White : แสงคูลไวท์ เป็นแสงที่ให้สีขาวนวลแต่ไม่จัด มีความสว่างมากกว่าแสงวอร์มไวท์ เรียกได้ว่าเป็นแสงกลางๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้กับหลายพื้นที่ ทำให้มองเห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจนมากขึ้น                              
  3. Daylight : แสงเดย์ไลท์ เป็นแสงสีขาวโทนฟ้า ให้ความสว่างชัดเจน ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ดี และเป็นแสงที่ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวอีกด้วย

 

เลือก สีไฟห้อง อย่างไรให้เข้ากับบ้านของเรา

  1. แสงไฟหน้าบ้านและประตูทางเข้า : บริเวณหน้าบ้านและบริเวณประตูทางเข้าถือเป็นจุดแรกของบ้านที่สามารถสร้างความประทับใจให้ทั้งกับคนอยู่เองและแขกที่มาเยือน ดังนั้น การใช้แสงไฟเสริมบรรยากาศ จะทำให้บ้านน่าอยู่และเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวบ้านมากยิ่งขึ้น
  2. แสงไฟห้องนั่งเล่น : ห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่ที่ใช้ทำกิจกรรม พักผ่อน และรับแขกซึ่งถือเป็นพื้นที่ส่วนกลางของบ้านที่ใช้สอยแบบอเนกประสงค์ แสงไฟที่ใช้จึงควรปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้งาน และกิจกรรมนั้นๆ
  3. แสงไฟห้องนอน : ห้องนอนเป็นพื้นที่แห่งการพักผ่อนในยามนอนหลับ เป็นพื้นที่ที่เราใช้ผ่อนคลายจากสิ่งต่างๆ ถือเป็นห้องที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดห้องหนึ่งในบ้าน ดังนั้น การสร้างบรรยากาศห้องนอนให้มีความสงบ อบอุ่น พร้อมแก่การนอนหลับจึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้สำคัญ
  4. แสงไฟห้องน้ำ : โดยปกติการออกแบบห้องน้ำ จะต้องมีช่องสำหรับระบายอากาศและเพื่อให้แสงธรรมชาติในเวลากลางวันเข้ามาสู่ตัวห้องน้ำเพื่อลดความอับชื้นอยู่แล้ว แต่สาวๆ หรือหนุ่มๆ หลายคนอาจจะใช้พื้นที่ห้องน้ำเป็นพื้นที่แต่งหน้า ทาครีม โกนหนวดด้วย ดังนั้น แสงไฟที่ใช้ควรให้โทนสีของแสงมีความชัดเจน ถูกต้อง
  5. แสงไฟห้องครัว : โดยปกติการออกแบบห้องครัวจะมีหน้าต่างเพื่อระบายอากาศและให้แสงธรรมชาติเข้ามาเพื่อลดความอับชื้นและช่วยฆ่าเชื้อโรคเช่นเดียวกับห้องน้ำอยู่แล้ว แต่จะต่างตรงที่ห้องครัวสามารถออกแบบให้ช่องแสงหรือหน้าต่างใหญ่กว่าห้องน้ำ ดังนั้น ในเวลากลางวันเราอาจจะไม่ต้องเปิดไฟเลยก็ได้ ส่วนในเวลากลางคืนที่ต้องการความชัดเจนของแสงก็สามารถเลือกใช้ได้ทั้งแสง Daylight และ Cool White
  6. แสงไฟห้องทำงาน : เชื่อว่าหลายๆ บ้านในปัจจุบัน ต้องมีการจัดสรรให้มีห้องทำงานภายในบ้านอย่างแน่นอน เนื่องจากการต้อง Work From Home หรือทำงานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งห้องทำงานนอกจากใช้ทำงานแล้ว บางคนยังใช้สำหรับการประชุมออนไลน์อีกด้วย ดังนั้น ห้องทำงานก็เป็นอีกห้องที่ต้องสร้างบรรยากาศให้สวยดูดี มีความสงบ เพื่อให้มีสมาธิ พร้อมสำหรับทั้งการทำงานและการประชุม

นอกจากรายละเอียดการออกแบบภายในและภายนอกบ้านแล้ว การเลือกแสงไฟให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ภายในบ้านก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแสงไฟสามารถสร้างบรรยากาศ อารมณ์และความรู้สึกที่ดีให้กับบ้านได้ ซึ่งการเลือกแสงไฟให้เหมาะกับบ้านก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด และทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางในการเลือกใช้แสงไฟให้ถูกลักษณะภายในบ้านหรือบริเวณบ้าน เพื่อเพิ่มความสว่างและความสวยงามให้กับภายในบ้าน ทำให้เกิดความน่าอยู่ให้กับบ้านหากเลือกใช้ไฟที่เหมาะสม

วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง

ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ที่เก่าแล้วทำอย่างไร ?  สามารถทำเองได้ไหม ? เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหาห้องน้ำรั่วซึม มีเชื้อรา หรือตะไคร่น้ำ แน่ ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดได้กับทั้ง ห้องน้ำ น็อคดาวน์ ห้องน้ำ สำเร็จรูป ห้องน้ำก่ออิฐฉาบปูน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากยาแนวกระเบื้องที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน หรือในบางครั้งเกิดจากตัวยาแนวถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดกัดกร่อน ทำให้ยาแนวไม่เต็มร่องกระเบื้องและส่งผลให้น้ำรั่วซึมในที่สุด สำหรับการแก้ไขปัญหาห้องน้ำรั่วซึมสามารถแก้ด้วยการยาแนวพื้นกระเบื้องใหม่เท่านั้น ซึ่งการยาแนวห้องน้ำไม่ได้ยากเย็นหรือต้องจ้างช่างเสมอไป ใคร ๆ ก็สามารถทำเองได้ง่าย ๆ ใช้งบประมาณในการทำไม่เกิน 50 บาท สำหรับขั้นตอนและอุปกรณ์ในการยาวแนวนั้นจะมีอะไรบ้างมาดูกันพร้อมกันเลย บอกเลยว่าดูจบสามารถเนรมิตให้ยาแนวเก่า ๆ กลับมาใหม่ได้ในทันที

 

 

อุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับ ซ่อมยาแนวกระเบื้อง

    1. กาวยาแนว
    2. ฟองน้ำ
    3. ผ้า สำหรับเช็ดถู
    4. แก้วน้ำ
    5. แปรงสีฟัน
    6. มีดคัตเตอร์

วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง

วิธียาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ เก่า

  1. ขั้นตอนแรก ผสมน้ำกับยาวแนว อัตราส่วน 1 : 2.5วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง 1
  1. ขั้นตอนที่สอง ใช้มีดคัสเตอร์ขูดยาแนวเก่าออกให้หมดวิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง 2
  1. ขั้นตอนที่สาม ปาดยาแนวให้เต็มร่องกระเบื้อง

วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง 3

  1. ขั้นตอนที่สี่ ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดคราบยาแนวส่วนเกินที่เลอะพื้นกระเบื้องออก ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง

วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง 4

  1. ขั้นตอนที่ห้า หลังจาก 2 ชั่วโมงเช็ดคราบบนพื้นด้วยผ้าอีกที ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง

วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง 5

  1. ขั้นตอนที่หก หลังทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง พร้อมใช้งานได้เหมือนปกติ

วิธี ซ่อมยาแนวกระเบื้อง ห้องน้ำ ที่เก่าแล้วด้วยตัวเอง 6

4 เหตุผลที่ควร ไล่นกพิราบ ออกจากหลังคาบ้าน

ไล่นกพิราบ 4 เหตุผลที่นกพิราบและคนไม่ควรอยู่ร่วมกัน ? เชื่อว่าหลายคนต้องประสบปัญหาเหล่านกพิราบหรือนกทั้งน้อยใหญ่ เข้ามาทำรังอยู่ใต้หลังคาหรือตามชายคาบ้านกันแน่ ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างความรำคาญใจให้เจ้าของบ้านไม่น้อยเลยทีเดียว แม้เหล่านกจะจากไปแต่ปัญหาก็ถูกทิ้งไว้อย่างแน่นอน ซึ่งสร้างปัญหาต้องเสียเวลาทำความสะอาดมูลนก ทำความสะอาดรังนก หรืออาจต้องซ่อมแซมในส่วนบ้านที่เสียหายจากการเข้าอาศัยของเหล่านกพวกนี้ การป้องกันนกไม่ให้เข้าทำรังก็มีด้วยกันหลายวิธีเช่น ใช้ ไม้ปิดกันนก ปิดบริเวณชายหลังคา, ติดตะแกรง, ติดตาข่าย, แขวนกระดิ่งหรือโมบาย เป็นต้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องป้องกันเหล่านกไม่ให้เข้ามาทำรังตามอำเภอใจ โดยเฉพาะพิราบนั้นไม่เพียงแต่สร้างปัญหาจุกจิกเท่านั้น ยังมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมายเช่นกัน

 

4 เหตุผลที่ควร ไล่นกพิราบ

  1. สร้างความรำควาญให้กับเจ้าของบ้าน อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เหล่านกน้อยใหญ่ที่เข้ามาทำรังไม่ได้มาอยู่อาศัยเพียง 1 – 2 ตัว และไม่ได้อยู่กันแบบฉันท์มิตร อาจมีการส่งเสียงร้องตลอดเวลา คาบเศษกิ่งไม้ คาบอาหาร บินวนไปมารอบตัวบ้านสร้างความรำคาญทั้งสภาวะทางเสียงและสายตาให้แก่เจ้าของบ้าน เป็นปัญหาจุกจิกที่สร้างความรำคายไม่น้อยเลยทีเดียว
  1. สร้างความสกปรก อีกหนึ่งปัญหาที่นกหรือสัตว์ที่อาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้าน หรือชายคาบ้าน มักมาพร้อมกับความสกปรก ทั้งการนำเศษไม้มาทำรังและการวางไข่เพื่อขยายพันธ์ ตลอดจนการปล่อยมูลหรือของเสียตามอำเภอใจ ส่งผลเสียต่อกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และยังยากต่อการหาตำแหน่งเพื่อทำความสะอาดอีกด้วย
  2. ขยายพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว การป้องกันไม่ให้นกน้อยเข้าทำรังแต่เนิ่น ๆ นับว่าเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ถ้าหากนกพิราบได้ทำรังเรียบร้อยแล้ว มักมีโอกาสแพร์พันธ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติทั่วไปนกพิราบจะทำการวางไข่ 1-2 ฟองต่อครั้ง และใช้ระยะเวลาฟักจากไข่เป็นตัวอ่อนเพียง 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าใช้ระยะเวลาสั้นมาก ๆ ในการแพร่พันธุ์
  3. พาหะนำโรค อีก 1 สาเหตุที่ไม่ควรให้นกพิราบอยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัย เพราะมูลนกพิราบมีเชื้อโรคมากกว่า 60 ชนิด และที่สำคัญยังเป็นพาหะของโรคไข้หวัดนกอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีโรคซิตตาโคซิส , โรคคริปโตคอกโคสิส , โรคฮิสโตพลาสโมซิส ซึ่งเป็นโรคหลัก ๆ ที่มักเกิดจากนกพิราบนั้นเอง

 

นกพิราบ นับว่าเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจไม่น้อย การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือการป้องกันตั้งแต่เริ่ม จึงควรไล่ให้พ้นจากที่พักอาศัยไม่ให้มาทำรังหรือบินมาเกาะอาศัยอยุ่ภายในบ้าน หรือปิดช่องใต้หลังคา ชายคา ติดตาข่าย หมั่นกำจัดรังนก เพื่อให้บ้านปลอดภัยจากบรรดาเหล่านกพิราบพวกนี้

แบบ ออฟฟิศน็อคดาวน์ 2 ชั้น ไอเดียการประยุกต์ใช้งาน

แบบ ออฟฟิศน็อคดาวน์ 2 ชั้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการนำไปประกอบธุรกิจทำ สำนักงาน หรือ ห้องพักสำหรับนั่งทำงาน ที่ติดปัญหาเรื่องพื้นที่มีจำกัด แต่อยากได้ผลสัมฤทธิ์ ได้งาน หรือ รองรับผู้คนเพิ่มเป็น 2 เท่า การใช้งานแบบ 2 ชั้นก็ตอบโจทย์การใช้งานทีเดียว ใช้พื้นที่ติดตั้งแค่ชั้นล่างเท่านั้นแต่พื้นที่การใช้งานจริง ๆ x 2 เลยทีเดียว นอกจากนี้ ออฟฟิศ สำเร็จรูป ยังมีจุดเด่นในเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการก่อสร้างออฟฟิศทั่วไปหลายเท่า และมีระยะเวลาในการก่อสร้างที่รวดเร็วใช้เวลาเพียง 15 – 30 วัน ก็สามารถมีห้องนั่งทำงานได้แล้ว วันนี้เราจะมาดูแบบออฟฟิศน็อคดาวน์กัน แต่จะเป็นออฟฟิศน็อคดาวน์แบบ 2 ชั้นแทน นับว่าเป็นอีกหนึ่งไอเดียในการทำออฟฟิศสำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัด คุณสามารถประยุกต์ให้ชั้น 2 เป็นห้องดินเนอร์ดูดาวสำหรับทำร้านอาหารก็ได้ด้วย หรือทำชั้น 2 เป็นห้องพักพนักงงานก็ได้เช่นกัน

 

แบบ ออฟฟิศน็อคดาวน์ 2 ชั้น แตกต่างกับ ชั้นเดียวอย่างไร

ออฟฟิศ 2 ชั้น วัสดุที่ใช้ในการผลิตจะแตกต่างไม่เหมือนกับออฟฟิศชั้นเดียว โดยรวมแล้วจะเน้นโครงสร้างที่แข็งแรงมากกว่าแบบออฟฟิศชั้นเดียว เริ่มที่ตัวโครงสร้างเหล็กทั้งชั้นล่างและชั้นบนจะต้องใช้เหล็กที่เบอร์หนากว่าเดิม เพื่อรับน้ำหนักออฟฟิศทั้ง 2 ชั้น ไม่เพียงแต่เบอร์เหล็กที่ต้องหนาขึ้นเท่านั้น โครงสร้างด้านล่างจะต้องแข็งแรงและแน่นเป็นพิเศษ โดยโครงสร้างพื้นชั้นล่างจะถักเหล็กให้ถี่กว่าปกติและมีการเสริมคานที่ออฟฟิศชั้นล่าง เพื่อพยุงและรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากด้านบนนั้นเอง เดี่ยวเราไปดูไอเดียการใช้งานกันเลยดีกว่า จะมีแบบไหนบ้าง เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลก่อสร้าง ออฟฟิศ สำนักงาน แบบ 2 ชั้น

  1. ออฟฟิศ 2 ชั้น แบบเพิ่มพื้นที่การทำงาน ชั้นล่าง 3 ตู้ส่วนชั้นบน 2 ตู้  มีการเสริมบันไดเป็นทางขึ้นชั้น 2 ที่ด้านหลังแทน

  1. ออฟฟิศ 2 ชั้นสไตล์โมเดิร์น เน้นงานกระจกที่ดูหรูหราและมองวิวจากภายในได้ ชั้นล่างเป็นทางเดินสำหรับเข้าสำนักงาน

  1. ออฟฟิศ 2 ชั้น แบบเน้นงานระเบียงและดาดฟ้า โดยเสริมคานที่ชั้นล่างเพื่อรับน้ำหนักและรอบรับการใช้งานให้สามารถใช้พื้นที่ของระเบียงได้

  1. ออฟฟิศ 2 ชั้น สำหรับทำเป็น ห้องนอน ห้องพัก สำหรับพนักงาน โดยชั้น 2 จะมีพื้นที่น้อยกว่าชั้นล่าง เพื่อให้ใช้งานส่วนหลังคาชั้นล่างเป็นทางเดินเข้าห้องพักชั้น 2 แทนการเสริมบันได้และระเบียงเหล็กขึ้นมาใหม่

  1. ออฟฟิศ 2 ชั้น ด้านบนและด้านล่างใช้งานเป็นห้องพักแยกเป็นห้อง ๆ มีการเสริมบันไดและทางเดินขึ้นเพื่อใช้เข้าไปใช้งานห้องพักที่อยู่บน ชั้น 2 และมีระเบียงไว้นั่งเล่นเป็น TOP VIEW พร้อมทั้งหลังคากันฝนอีกด้วย

  1. ออฟฟิศ 2 ชั้น แบบใช้งานเต็มพื้นที่ ชั้นล่างเป็นออฟฟิศ 2 ตู้ติด เพื่อเพิ่มพื้นที่การทำงานให้เป็นยูนิตเดียวกัน ส่วนด้านบนเป็นออฟฟิศ 1 ตู้ สำหรับนั่งทำงานแบบส่วนตัวและมีระเบียงที่ใช้ชั้นล่างเป็นฐาน เพื่อให้สามารถใช้งานเดินไปมาหรือเอาเก้าอี้โต๊ะไปนั่งทำงานด้านนอกเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้เช่นกัน

แบบ ออฟฟิศน็อคาวน์ ออฟฟิศ 2 ชั้น มีระเบียง ขนาด 6x6 สูง 4.8 เมตร

  1. ร้านค้าสำเร็จรูป 2 ชั้น ไม่เพียงแต่ใช้งานเป็นออฟฟิศอย่างเดียวเท่านั้น พ่อค้า แม่ค้า สามารถประยุกต์ใช้งานเป็น ร้าน 2 ชั้น ก็ได้เช่นกัน แค่การเสริมโครงสร้างเพื่อรองรับการใช้งานชั้นบน ก็สามารถรองรับลูกค้าได้เป็น 2 เท่า เพิ่มรายรับและกำไรได้มากกว่าเดิม และยังเป็น top view สำหรับเสพบรรยากาศด้านบนเพื่อเพิ่มอรรถรถให้แก่ผู้ใช้งานอีกด้วย

 

นี้ก็เป็นเพียงไอเดีย การใช้งาน ออฟฟิศ น็อคดาวน์ 2 ชั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ใครที่กำลังสนใจหรือกำลังหาข้อมูล โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีพื้นที่ที่จำกัด แต่อยากได้งาน หรือ ต้องรองรับพนักงานที่มากขึ้น และไม่อยากลงทุนสูง การใช้งานออฟฟิศสำเร็จรูป 2 ชั้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ช่วยให้ท่านนำไปคิดพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้งาน ออฟฟิศ สำนักงาน ได้ถูกต้องเหมาะสมและตอบโจทย์ของท่านมากที่สุด

เชิงชาย คือ ส่วนไหน และแตกต่างจาก ชายคา อย่างไร

เชิงชาย คือ ? ชายคา คือ ? ทั้ง 2 อย่างคือส่วนเดียวกันหรือไหม ? แตกต่างกันอย่างไร ? สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องบ้าน เชื่อว่าหลายคนต้องงุนงงคิดว่า 2 ส่วนประกอบของบ้านอย่าง เชิงชาย และ ชายคาบ้าน เป็นส่วนประกอบเดียวกันแน่ ๆ วันนี้แอดมินจะมาอธิบายว่าทั้ง 2 นั้น คืออะไร ต่างกันอย่างไร มีประโยชน์กับการใช้งานอย่างไร ? เพื่อให้คนที่ไม่ทราบได้เข้าใจเจ้าวัสดุตกแต่งบ้านทั้ง 2 อย่างเพื่อเป็นความรู้ หากวันนึงต้องตกแต่งหรือซ่อมแซมจะได้เลือกซื้อสินค้ามาซ่อมแซมให้ถูกต้อง มาทำความรู้จักวัสดุทั้ง 2 อย่างกันเลย

เชิงชาย คือ อะไร

ไม้เชิงชาย เป็นวัสดุตกแต่งและโครงสร้างโดยเฉพาะ ใช้ปิดในส่วนปลายหลังคา เพื่อจบงาน เก็บความเรียบร้อยให้บ้านดูสวยงาม อีกหนึ่งเหตุผลที่ต้องใช้เชิงชายปิดหลังคา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรู ร่อง ซึ่งเป็นทางเข้าของสัตว์เล็ก ๆ จำพวก นก หนู ไปทำรังเป็นที่พักอาศัยบริเวณใต้หลังคาอีกด้วย และยังใช้ปิดปลายจันทันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นกัน นอกจากนี้ เชิงชาย ยังเป็นโครงสร้างที่ใช้ยึดติดรางน้ำฝนอีกด้วย

ไม้เชิงชาย scg สีรองพื้น เชิงชาย คือ วัสดุปิดปั้นลม เก็บงานหลังคา

ความแตกต่างของ 2 ส่วนนี้ คือ ตัวเชิงชายมีลักษณะยื่นลงมาด้านยึดติดปิดแผ่นหลังคา ส่วนชายคาบ้านมีลักษณะยื่นออกไปด้านข้างตัวบ้านประมาณ 1–1.5 เมตร เป็นส่วนที่ให้ร่มเงากับอาคาร บ้านเรือน นิยมใช้แผ่นฝ้าที่มีร่องระบายอากาศเพื่อให้อุณหภูมิไม่ร้อน ไม่สะสมอยู่ภายใต้หลังคา ให้อากาศสามารถถ่ายเทได้ตลอดเวลา ลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้าน

ด้วยความที่ 2 วัสดุนี้อยู่แทบจะอยู่ที่เดียวกันเลยทำให้หลายคนอาจสับสนกันไปบ้าง แอด มินหวังว่า ทุกคนคงพอเห็นภาพกันแล้วเนาะ วัสดุทั้ง 2 อย่างนั้นค่อนข้างแตกต่างกันมากเลยทีเดียว แถมคุณประโชยน์การใช้งานก็ต่างกันมากๆ อีกด้วย

พื้น ไม้เทียม คืออะไร ? มีกี่ประเภท ? เลือกใช้แบบไหนดี ?

พื้น ไม้เทียม หรือ ไม้พื้นสังเคราะห์ ในปัจจุบันมีการพัฒนาให้มีความคล้ายไม้ธรรมชาติ ทั้งโทนสี ลวดลาย รูปลักษณ์ แต่เดิมงานตกแต่งปูพื้นที่ต้องการความเรียบง่าย ร่มรื่น จะเลือกใช้งาน ไม้พื้น ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่ใช้ในการตกแต่งพื้นบ้านและอาคารที่ได้รับความนิยมมาช้านาน โดยจุดเด่นของการเลือกใช้งานวัสดุประเภทไม้ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติผ่านโทนสี ลวดลาย texture ของงานไม้ และเป็นวัสดุที่สามารถปลูกทดแทนได้ แต่ด้วยปัญหาการใช้งานบางส่วนที่ไม่ตอบโจทย์ ทั้งเรื่องอายุการใช้งาน การซ่อมแซมดูแลรักษา ปัญหาแมลงศัตรูไม้อย่างปลวกหรือมอด ทำให้ทุกวันนี้ผู้ออกแบบ ผู้ตกแต่ง หรือ ผู้รับเหมาเองจะเลือกแนะนำ พื้นไม้สังเคราะห์ ให้กับเจ้าของบ้าน ซึ่งวัสดุหลักเป็นผงไม้ ผสมกับพลาสติก หรือบางส่วนผสมกับปูน ทำให้ตอบโจทย์ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นได้ดีกว่า ซึ่ง พื้นไม้สังเคราะห์ มีให้เลือกด้วยกันหลายประเภทด้วยกัน

พื้น ไม้เทียม มีกี่ประเภท ?

ไม้พื้นสังเคราะห์ ที่นิยมใช้งานในปัจจุบัน หลัก ๆ มีด้วยกัน 2 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทใช้วัสดุในกระบวนการผลิตแตกต่างกันทำให้คุณสมบัติแตกต่างกัน แต่รูปลักษณ์ เท็กเจอร์ ลวดลายของไม้แสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติ ความร่มรื่น ไม่ต่างจากไม้จริงเลยที่เดียว นอกจากนี้ลวดลายและเท็กเจอร์ของไม้พื้นเทียมยังทำให้ทุกครั้งที่เท้าได้สัมผัสลงบนพื้น จะเกิดแรงต้าน ไม่ทำให้ลื่นหรือล้มง่ายเหมือนวัสดุปูพื้นหน้าเรียบอีกด้วย

1.  พื้น ไม้เทียม WPC

ไม้พื้น WPC ย่อมามาก “Wood Plastic Composite”  วัสดุที่ใช้ในการผลิตจะใช้ผงไม้ + โพลิเมอร์พลาสติกเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งพลาสติกชนิดนี้เป็นการทำมาจากวัสดุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล เช่น ขวดน้ำพลาสสติก แก้วน้ำ แผ่นซีดี เป็นการช่วยลดทรัพยากรต้นไม้ และเป็นการนำขยะที่ไม่ใช้แล้วกลับมาใช้งานใหม่ ทำให้ได้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา มีความเหนียว แข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้มาก ใช้ในงานโครงสร้างได้ดี มีคุณสมบัติ กันปลวกและแมลงศัตรูพืช ไม่ลามไฟ สีเดียวกันทั้งไม้หากเกิดรอยถลอกไม่ต้องใช้สีแต้มให้ใช้กระดาษทรายขัด อัตราการทนชื้นได้มากน้อยขึ้นอยู่กับวัสดุหลักที่ใช้ผลิตเป็นผงไม้หรือพลาสติกมากกว่ากัน

  • สำหรับ ไม้พื้นเทียม ปูพื้น แทบทุกประเภททุกยี่ห้อ ล้วนแล้วแต่จำแนกออกตามการใช้งานและรูปแบบของหน้าตัดทั้งสิ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 แบบก็มีความแข็งแรง ทนทาน คุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้หน้าตัดที่แตกต่างกันก็เหมาะกับงานตกแต่ง งานออกแบบ ที่ต่างกันไปเช่นกัน
    1. พื้นไม้เทียมแบบตัน ลักษณะพื้นไม้ประเภทนี้จะมีความแข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้สูงกว่าไม้แบบอื่น เนื่องจากเป็นไม้ที่มีมวลความหนาแน่นสูง ไม่มีรู ไม่มีร่อง อัดแน่นด้วยผงไม้และพลาสติกเข้าเป็นไม้แผ่นเดียวกัน
    2. พื้นไม้เทียมแบบรูกลม มีความแข็งแรงสูง รับน้ำหนักได้ดีแต่ไม่เท่ากับแบบตัน แต่ได้ในส่วนของรูปลักษณ์หน้าตัดแบบรูกลม ซึ่งสามารถใช้ในงานตกแต่งหรืองานอื่น ๆ ที่ต้องการความสวยงามได้
    3. พื้นไม้เทียมแบบรูกลวง ความแข็งแรง ทนทานอาจไม่มากเท่าไม้เทียมแบบตัน และแบบรูกลม แต่ยังคงมีแข็งแรงทนทานกว่าไม้จริงและมีราคาที่ถูกกว่าทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมา สามารถใช้ในงานตกแต่ง งานออกแบบได้เช่นเดียวกับแบบรูกลมแต่จะเป็นอีกอารมณ์อีกความรู้สึกแทน

2.  พื้นไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ WFC

ไม้สังเคราะห์ WFC หรือ ไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ย่อมาจาก “WOOD FIBER CEMENT COMPOSITE”  เป็นวัสดุทดแทนไม้จริงที่ผลิตจาก ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ + ซิลิก้า + เส้นใยเซลลูโลสชนิดพิเศษ เข้ากรรมวิธีการผลิตขึ้นรูปเป็นแผ่นยาว มีลวดลายเหมือนไม้จริง โดดเด่นด้วยส่วนผสมที่ทำให้สามารถทนความร้อนความเย็นได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถหยิบจับไปใช้งานได้ทั้งภายในภายนอกอาคาร นอกจากนี้ยังไร้ปัญหาเรื่องของปลวกและแมลงศัตรูพืช ตอบโจทย์การใช้กว่าการใช้ไม้จริงครับ ราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายกว่า WPC

  • สำหรับประเภอแยกย่อยของไม้สังเคราะห์ WFC จะไม่ได้แยกหรือจำแนกจากหน้าตัดของไม้เหมือนไม้ WPC แต่ผู้ผลิตจะแยกเป็นรุ่น ๆ ที่เหมาะกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น พื้นไม้เทียม SCG ที่มีอีก 3 รุ่นให้เลือกใช้งาน เช่น
  1. รุ่น เซฟเวอร์ เดิมเป็นสีซีเมนต์ เคลือบซีลเลอร์บนผิวหน้า ช่วยให้ทาสีติดทนทานมากยิ่งขึ้น เลือกใช้สีย้อมไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ทาทับได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้เลย สามารถติดตั้งได้ทั้งบนตงและพื้นคอนกรีต มี 3 ขนาดให้เลือก 10×2.5×30 ซม. / 15×2.5×30 ซม. / 20×2.5×30 ซม.

  1. รุ่น เบสิค ใช้เทคโนโลยี X-Trusion ทำให้มีน้ำหนักเบาลง แต่รับน้ำหนักได้มากกว่าเดิมถึง 250 กก./จุด ใช้สีย้อมไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ทาทับได้ มี 3 ขนาดให้เลือก 10×2.5×30 ซม. / 15×2.5×30 ซม. / 20×2.5×30 ซม.

ไม้เชิงชาย scg สีรองพื้น

 

  1. รุ่น ที-คลิป ติดตั้งด้วยคลิปล็อค จึงปราศจากร่องรอยหัวสกรู ให้พื้นผิวที่ดูเรียบเนียนสวยงาม พร้อมทาสีจากโรงงาน มี 3 สี น้ำตาลไม้โอ๊ค / เนเชอรัล / มะฮอกกานี และมี 2 ขนาดให้เลือก 16×2.5×30 ซม. / 20×2.5×30 ซม.

 

พื้น ไม้เทียม ปูพื้น ภายนอก ภายใน SCG รุ่น ที-คลิป สี มะฮอกกานี

Back to Top

นโยบายการคืนเงิน

เงื่อนไขการคืนเงิน

  1. กรณีลูกค้าเลือกชำระด้วยบัตรเครดิต

1.1 หากมีการยกเลิกรายการก่อนทำการบรรจุสินค้าลงกล่อง ทางบริษัทฯ จะทำการคืนวงเงินกลับไปยังบัญชีบัตรเครดิตภายในวันทำการถัดไป

1.2 กรณีที่มีการคืนสินค้าหลังได้รับสินค้าเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทฯ จะทำการปรับปรุงคืนวงเงินไปยังบัญชีบัตรเครดิต หรือ Paypal ของลูกค้าภายใน 14 วันทำการนับจากวันที่บริษัทฯ ได้ทำการตรวจสอบและยืนยันการรับคืนสินค้า

  1. กรณีลูกค้าชำระด้วยวิธีการอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ 1

2.1 สำหรับรายการที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,000 บาท ทางบริษัทฯ จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ของลูกค้า ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่บริษัทฯ ได้ทำการตรวจสอบและยืนยันการรับคืนสินค้า

2.2 สำหรับรายการที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 บาทขึ้นไป ทางบริษัทฯ จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ของลูกค้า ภายใน 5 วันทำการนับจากวันที่บริษัทฯ ได้ทำการตรวจสอบและยืนยันการรับคืนสินค้า

เงื่อนไขการรับประกัน

บริษัทฯ รับประกันสินค้าเป็นเวลา 1 ปี นับจากวันที่ซื้อสินค้า และมีเงื่อนไขและข้อกำหนดดังนี้

  1. ภายใต้ระยะเวลาของการรับประกัน บริษัทฯ อาจทำการซ่อมหรือเปลี่ยนสินค้าตัวใหม่ให้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ
  2. หลังจากซ่อมหรือเปลี่ยนสินค้า การนับระยะเวลารับประกันจะเริ่มนับต่อเนื่องจากที่เหลืออยู่
  3. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการคิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมหรือเปลี่ยนสินค้า โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของบริษัทฯ
  4. สินค้าที่ส่งเคลม จำเป็นต้องทิ้งไว้เพื่อตรวจสอบความบกพร่องหรืออาการเบื้องต้นก่อน
  5. บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อสินค้าที่เสียหายที่อยู่นอกข่ายการรับประกัน หรือ สินค้าที่หมดประกันแล้ว

การรับประกันที่ถือเป็นโมฆะตามเงื่อนไข

  1. สินค้าไม่มี void รับประกันของบริษัทฯ หรือไม่มีหมายเลขเครื่องสินค้า (S/N) หรือสติ๊กเกอร์ของบริษัทฯหรือหลักฐานที่แสดงว่าเป็นสินค้าของบริษัทฯ
  2. สินค้าที่เกิดความเสียหายจากการดัดแปลงแก้ไขหรือซ่อมแซม โดยบุคคลที่ไม่ได้รับมอบหมายจากบริษัทฯ การแกะ/ชำแหละ/ดัดแปลงแปลงแก้ไขโดยผู้ใช้
  3. สินค้าที่เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุ น้ำ อาหาร ความชื้น อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป
  4. สินค้าที่เสียหายจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การติดตั้งผิดพลาด การตกกระแทกแตกหักเสียหาย สัตว์เลี้ยงกัดแทะ ฯลฯ มีผลให้สินค้าเสียหาย เป็นต้น

นโยบายความเป็นส่วนตัว

บริษัทฯ จะพยายามอธิบายผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคำบรรยายผลิตภัณฑ์บนเว็บไซต์จะปราศจากข้อผิดพลาดทั้งมวล ดังนั้นหากท่านไม่พอใจในสินค้า หรือเห็นว่าไม่ตรงกับคำบรรยาย บริษัทฯ ยินดีที่จะรับคืนสินค้า (ตามเงื่อนไขการเปลี่ยน คืนสินค้า) เช่นเดียวกัน บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะแสดงรูปภาพสินค้าที่มีสีที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง แต่สีที่แสดงบนหน้าจอของท่านอาจผิดเพี้ยนได้ตามการตั้งค่าของหน้าจอ คอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันไป

  1. การป้องกันการฉ้อโกง
    บริษัทฯ มีกระบวนการตรวจสอบการฉ้อโกงหรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย บริษัทฯมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธหรือระงับคำสั่งซื้อ หากตรวจพบบัญชีที่มีประวัติการฉ้อโกง และฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทฯ อาจติดต่อท่านผ่านทางโทรศัพท์เพื่อให้ท่านยืนยันคำสั่งซื้อได้ บริษัทฯ อาจยกเลิกบัญชีของผู้ใช้บริการ หากตรวจพบการฉ้อโกงหรือพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย บริษัทฯ บังคับใช้นโยบายดังกล่าวเพื่อปกป้องผู้ใช้บริการของเรา รวมทั้งบริษัทฯ เองจากการถูกต้มตุ๋น หลอกลวง หรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย
  2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
    บริษัทฯ ยินดีรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากท่านเกี่ยวกับเว็บไซต์ สินค้าและบริการของบริษัทฯโดยความคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวจะไม่ถือเป็นความลับ และอาจถูกนำไปใช้ ดัดแปลง ทำซ้ำ และเผยแพร่ได้เพื่อจุดประสงค์ใดๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะไม่เชื่อมโยงชื่อนามสกุลของท่านกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของท่าน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านก่อนเว้นแต่ในกรณีที่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายเท่านั้น

นโยบายการจัดส่ง

บริษัทฯ ยินดีรับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าภายใน 14 วันหลังจากการสั่งซื้อ ตามกรณีดังต่อไปนี้

  1. ในกรณีที่ทางบริษัทฯจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าผิดจากรายละเอียดจากการยืนยันการสั่งซื้อครั้งล่าสุดจากทางบริษัท ทางบริษัทฯ ยินดีที่จะรับเปลี่ยนและจัดส่งสินค้าที่ถูกต้อง ให้กับลูกค้าใหม่ภายใน วันทำการ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
  2. ในกรณีที่มีปัญหาจากตัวสินค้าชำรุดเสียหายเนื่องจากการผลิต หรือสินค้าเกิดความเสียหายเนื่องจากการขนส่งจากทางบริษัท ทางบริษัทฯยินดีที่จะรับเปลี่ยนและจัดส่งสินค้าที่ถูกต้อง ให้กับลูกค้าใหม่ภายใน วันทำการ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ